วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ว่าด้วยความรัก ๔ แบบ

ว่าด้วยความรัก ๔ แบบ

(๑) ความรักเกิดจากความรัก
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ในกรณีนี้ มีบุคคลซึ่งเป็นที่ปรารถนา
รักใคร่พอใจของบุคคลคนหนึ่ง, มีบุคคลพวกอื่นมาประพฤติ
กระทำต่อบุคคลนั้น ด้วยอาการที่น่าปรารถนาน่ารักใคร่
น่าพอใจ; บุคคลโน้นก็จะเกิดความพอใจขึ้นมาอย่างนี้ว่า
“บุคคลเหล่านั้นประพฤติกระทำต่อบุคคลที่เราปรารถนารักใคร่
พอใจ ด้วยอาการที่น่าปรารถนาน่ารักใคร่น่าพอใจ” ดังนี้;
บุคคลนั้นชื่อว่า ย่อมทำความรักให้เกิดขึ้นใน
บุคคลเหล่านั้น.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! อย่างนี้แล เรียกว่า
ความรักเกิดจากความรัก.
(๒) ความเกลียดเกิดจากความรัก
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ในกรณีนี้ มีบุคคลซึ่งเป็นที่ปรารถนา
รักใคร่พอใจของบุคคลคนหนึ่ง, มีบุคคลพวกอื่นมาประพฤติ
กระทำต่อบุคคลนั้น ด้วยอาการที่ไม่น่าปรารถนาไม่น่ารักใคร่
พอใจ; บุคคลโน้นก็จะเกิดความไม่พอใจขึ้นมาอย่างนี้ว่า
“บุคคลเหล่านั้นประพฤติกระทำต่อบุคคลที่เราปรารถนา
รักใคร่พอใจ ด้วยอาการที่ไม่น่าปรารถนาไม่น่ารักใคร่
พอใจ” ดังนี้;
บุคคลนั้นชื่อว่า ย่อมทำความเกลียดให้เกิดขึ้น
ในบุคคลเหล่านั้น.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! อย่างนี้แล เรียกว่า
ความเกลียดเกิดจากความรัก.
(๓) ความรักเกิดจากความเกลียด
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ในกรณีนี้ มีบุคคลซึ่งไม่เป็นที่
ปรารถนารักใคร่พอใจของบุคคลคนหนึ่ง, มีบุคคลพวกอื่น
มาประพฤติกระทำต่อบุคคลนั้น ด้วยอาการที่ไม่น่าปรารถนา
ไม่น่ารักใคร่พอใจ; บุคคลโน้นก็จะเกิดความพอใจขึ้นมา
อย่างนี้ว่า “บุคคลเหล่านั้นประพฤติกระทำต่อบุคคลที่เรา
ไม่ปรารถนารักใคร่พอใจ ด้วยอาการที่ไม่น่าปรารถนา
ไม่น่ารักใคร่พอใจ” ดังนี้;
บุคคลนั้นชื่อว่า ย่อมทำความรักให้เกิดขึ้นในบุคคล
เหล่านั้น.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! อย่างนี้แล เรียกว่า
ความรักเกิดจากความเกลียด.
(๔) ความเกลียดเกิดจากความเกลียด
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ในกรณีนี้ มีบุคคลซึ่งไม่เป็นที่
ปรารถนารักใคร่พอใจของบุคคลคนหนึ่ง, มีบุคคลพวกอื่นมา
ประพฤติกระทำต่อบุคคลนั้น ด้วยอาการที่น่าปรารถนา
น่ารักใคร่น่าพอใจ; บุคคลโน้นก็จะเกิดความไม่พอใจขึ้นมา
อย่างนี้ว่า “บุคคลเหล่านั้นประพฤติกระทำต่อบุคคลที่เรา
ไม่ปรารถนารักใคร่พอใจ ด้วยอาการที่น่าปรารถนาน่ารักใคร่
น่าพอใจ” ดังนี้;
บุคคลนั้น ชื่อว่า ย่อมทำความเกลียดให้เกิดขึ้น
ในบุคคลเหล่านั้น.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! อย่างนี้แล เรียกว่า
ความเกลียดเกิดจากความเกลียด.
จตุกฺก. อํ. ๒๑/๒๘๐/๒๐๐.


ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก https://www.youtube.com/watch?v=uUs9UkwXkyg

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

อานิสงส์การร่วมบุญสร้างพระธาตุเจดีย์

อานิสงส์การร่วมบุญสร้างพระธาตุเจดีย์การสร้างเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ หรือ อัฐิธาตุของบุคคลที่ควรบูชาได้แก่ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ และพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นการสร้างมงคลให้กับตนเองอย่างสูงสุด เมื่อตายไปย่อมไปสู่สุคติโลกสวรรค์ย่อมได้ดวงตาเห็นธรรมและบรรลุมรรคผลนิพพานโดยง่าย การมีส่วนร่วมสร้าง พระเจดีย์จะมากหรือน้อย ถ้าทำด้วยความเลื่อมใส ก็ย่อมได้อานิสงส์มากมาย ดังตัวอย่างที่หยิบยกมาให้ท่านได้อ่านต่อไปนี้
พระเถระรูปนี้ในชาติก่อนมีส่วนร่วมสร้างเจดีย์ เพียงท่านใส่ก้อนปูนขาวลงในช่องแผ่นอิฐ ซื่งประชาชนกำลังก่ออิฐสร้างเจดีย์อยู่ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ด้วยจิตใจที่เลื่อมใส อำนาจแห่งบุญนั้นได้บันดาลให้ท่านไปเกิดในสวรรค์ แลโลกมนุษย์ถึง ๙๔ กัปป์ พอมาถึงสมัยพระพุทธเจ้าสมณโคดม ท่านได้มาบวชในพระพุทธศาสนาท่านคือ พระสุธาบิณฑิยเถระและยังมีเรื่องเล่าจาก พระมหาโมคคัลลานะเถระ ว่าท่านได้พบเทพบุตรตนหนึ่งมีวิมานสวยงามวิจิตรตระการตา แวดล้อมด้วยนางฟ้าจำนวนมาก มาฟ้อนรำขับร้องให้เบิกบานใจ และเทพบุตรตนนี้มีอำนาจยิ่งใหญ่เหนือเทพบุตรทั้งปวง ท่านจึงถามเทพบุตรตนนั้นว่า เมื่อท่านเป็นมนุษย์ได้ทำบุญอะไรไว้หรือ ท่านถึงมีอานุภาพมากมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศอย่างนี้ เทพบุตรตนนั้นตอบว่า แต่ก่อนเมื่อเป็นมนุษย์ได้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ได้ออกบวชอยู่ ๗ พรรษา และเป็นสาวกของพระศาสดานามว่า สุเมธ ต่อมาได้ดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว พระบรมสารีริกธาตุของท่านบรรจุไว้ในรัตนเจดีย์ซึ่งห่อหุ้มด้วยข่ายทองคำ ท่านได้ชักชวนประชาชนให้ไปสักการบูชาด้วยความเลื่อมใส กุศลจะส่งผลให้ขึ้นสวรรค์ ด้วยบุญนี้เองทำให้ข้าพเจ้าได้มาเสวยสุขอยู่ในทิพย์วิมานนี้เอง
ส่วน พระมหากัสสปะเถระนั้น ท่านได้พบเปรตตนหนึ่งมีกลิ่นเหม็นเน่า มีหนอนกินปาก นอกจากนี้ยังถูกยมบาลเฉือนปาก แล้วราดน้ำให้แสบร้อน จึงถามถึงผลกรรมของเปรตนั้น ทราบว่าแต่ก่อนตอนเป็นมนุษย์ ตนเป็นชาวนครราชคฤห์ได้ห้ามมิให้บุตร ภรรยา บูชาพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พร้อมกับเล่าถึงพวกที่มีความคิดและกระทำเหมือนตน ส่วนภรรยา และบุตรของตนได้ไปเสวยสุขอยู่บนสวรรค์ มีวิมานสวยสดงดงาม เพราะอานิสงส์ที่ได้ไปใหว้พระบรมสารีริกธาตุ สำหรับตนเองนั้นตั้งใจไว้ว่า หากได้เกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง จะทำการบูชาพระสถูปเจดีย์ให้มากอย่างแน่นอน
นอก จากนี้ในครั้งพุทธกาล พระเจ้าปัสเสนทิโกศล ได้เสด็จไปยังเมืองสาวัตถีพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชบริพารเป็นอันมาก ครั้นถึงหาดทรายริมฝั่งแม่น้ำพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นทรายขาว ผ่องบริสุทธิ์ยิ่งนัก ทรงมีพระทัยเลื่อมใสอย่างแรงกล้า ได้รับสั่งให้ช่วยกันก่อกองทรายให้เป็นรูปเจดีย์ถึง ๘๔,๐๐๐ องค์ มองดูเป็นทิวแถวสวยงาม เพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา เสร็จแล้วได้เสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่บุบผารามมหาวิหาร แล้วได้ทูลถามถึงอานิสงส์ แห่งการก่อเจดีย์ทราย พระพุทธเจ้าตรัสว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร ผู้มีศรัทธาแรงกล้าได้ก่อเจดีย์ทรายถึง๘๔,๐๐๐ องค์ หรือแม้แต่องค์เดียว ก็ย่อมได้รับอานิสงส์มาก จะไม่ตกนรกตลอดร้อยชาติถ้าเกิดเป็นมนุษย์ จะอุดมสมบูรณ์ทุกอย่าง มีชื่อเสียงเกียรติยศไปทั่วทุกทิศ จากนั้นจะได้ไปสวรรค์เวยทิพย์สมบัติ การก่อเจดีย์ทรายเป็นเรื่องของผู้มีความฉลาด มีความคิดดี ได้ทำเป็นประเพณีมาแล้วในอดีต แม้พระตถาคตเองก็เคยทำมาแล้วในครั้งเป็นพระโพธิ์สัตว์ ในครั้งนั้นตถาคตยากจนมาก มีอาชีพตัดฟืนขาย วันหนึ่งได้พบทรายขาวสะอาดมากในราวป่า ก็มีจิตใจศรัทธาผ่องใส วันนั้นได้หยุดตัดฟืนทั้งวัน ได้กวาดทรายก่อเป็นเจดีย์โดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก แล้วเปลื้องผ้าห่มของตน ฉีกทำเป็นธงประดับไว้ เพื่อบูชาพระติสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วอฐิษฐานจิตขอให้เป็นปัจจัยแห่งพระโพธิ์ญาณในอนาคตกาล ครั้นเมื่อตายไปแล้วได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อยู่ ๒ พันปีพิพย์ เมื่อสิ้นอายุขัย ได้อุบัติมาเกิดเป็นพระตถาคตนี้เอง สำหรับพระเจ้าปัสเสนทิโกศลนั้นก็ได้รับพยากรณ์ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในภายภาคหน้า
และพระมหากัสสปเถระ ยังได้กล่าวถึงประวัติและผลบุญแห่งการสร้างพุทธเจดีย์ของท่านไว้ดังนี้
ใน ครั้งที่พระพุทธเจ้ามีนามว่าปทุมมุตตระ พระองค์ได้ปรินิพพานแล้วพระมหากัสสปเถระได้ชักชวนหมู่ญาติมิตร และประชาชน ให้มาร่วมกันสร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อบูชาพระพุทธเจ้ากันเถิด ทุกคนมีจิตเลื่อมใส ปิติอิ่มเอมใจ จึงได้ช่วยกันสร้างเจดีย์สูงค่าเสร็จลงด้วยความเรียบร้อย เจดีย์สูงร้อยศอก สร้างปราสาท ห้าร้อยศอก สูงตระหง่านจรดท้องฟ้า ทุกคนมีจิตปิติเบิกบานในอานิสงส์บุญที่ได้พากันทำไว้ เมื่อท่านตายไปแล้วได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อยู่บนยานทิพย์เทียมด้วยม้าสินธพพันตัว วิมานของท่านสูงตระหง่านเจ็ดชั้น มีปราสาทหนึ่งพันองค์ ซึ่งสร้างด้วยทองคำ ศาลาหน้ามุขสร้างด้วยแก้วมณี ส่องแสงสว่างเจิดจ้าไปทั่วสารทิศ ทั้งยังมีอำนาจเหนือเทวดาทั้งปวง เมื่อลงมาเกิดในโลกมนุษย์ ในกัปป์ที่หกหมื่นในภัทรกัปป์นี้ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ ครอบครองอาณาเขตไปถึง ๔ ทวีป มีแก้วแหวนเงินทองมากมาย ประชาชนมีความสุขสำราญเหมือนดั่งเมืองบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และชาติสุดท้ายได้มาเกิดในสกุลพราหมณ์ที่ร่ำรวย แต่สละทรัพย์ออกบวช จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ผู้เลิศด้วยปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ การไหว้พระธาตุถือเป็นการเสริมสร้างสิริมงคลให้แก่ชีวิตเป็นอย่างยิ่ง เพราะการบูชาพระธาตุ อันเป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะนำมาซึ่งความสุข ความเจริญมาสู่ผู้ที่บูชา รวมทั้งอานิสงส์ผลบุญที่ได้จากการกราบไหว้บูชา ยิ่งหากใครบูชาด้วยจิตใจศรัทธาอันบริสุทธิ์ และหมั่นกราบไหว้เมื่อมีโอกาส อานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ของพระธาตุ จะดลบันดาลให้เกิดสิริมงคลในชีวิตแก่ตัวผู้บูชา
อานิสงส์ในการสร้างกุศลกับพระบรมสารีริกธาตุ
ถวายฉัตรยอดพระเจดีย์ —-> ได้รับการเคารพยกย่อง เกิดในชาติตระกูลสูง มีสง่าราศี
ถวายทองคำ —-> ผิวพรรณงาม เปล่งปลั่ง อุดมมั่งคั่ง
ถวายเงิน —-> ใจสว่างไสว อยู่เย็นเป็นสุข
ถวายอัญมณี —-> รัศมีกายทิพย์สว่าง มีราศรี มักประสบโชคดี
ถวาย, บรรจุพระเครื่อง —-> มีกำลังใจต่อสู้กับอุปสรรค มักมีคนช่วยเหลือเวลามีปัญหา
ถวายแผ่นทองคำเปลวปิดองค์พระเจดีย์ —-> มีราศีผิวพรรณงาม ใจสว่าง อบอุ่นใจ
ถวายอิฐ หิน ปูน ทราย —-> มีแต่ความมั่นคงในชีวิต ใจคอหนักแน่น ไม่โลเล
สร้างองค์พระเจดีย์ —-> มักได้สิ่งอันพึงปรารถนา สุขภาพดี ไม่มีวันอดตาย
ถวายธงหลากสีประดับองค์พระธาตุ —-> มีสง่าราศี กายทิพย์สว่าง
ถวายโคมไฟให้แสงสว่าง เทียน —-> ใจสว่าง ชีวิตสะดวกสบาย มีอุปสรรคน้อยลง มีปัญญาธรรมสูงขึ้น เบิกทางสู่ทิพยเนตร
ถวายดอกไม้อันบริสุทธิ์ต่างๆ —-> สุขสงบใจ ใจสะอาดสดชื่นผ่องแผ้ว
ถวายธูป เครื่องหอมต่างๆ —-> อบอุ่นมั่นคงในใจ ใจสว่างมีอุปสรรคน้อยลง มีกลิ่นกายสะอาด รู้สึกสดชื่นเสมอ
ถวายแผ่นหินปูพื้นพระเจดีย์ —-> มีบริวารดี มีสมาธิดีขึ้น มีเวลาปฏิบัติธรรมมากขึ้น
ถวายกระจกสีประดับองค์พระเจดีย์ —-> กายทิพย์สว่าง มีสง่าราศี มีคนศรัทธา เห็นความดีในตัว
ถวายผ้าเหลืองครอง(หุ้ม)องค์พระเจดีย์ —-> เพิ่มเนกขัมมบารมี ใจสงบขึ้น มีโอกาสได้วิมุตติธรรมเร็วขึ้น
สรงน้ำพระธาตุ —-> ใจสะอาดสงบสว่างขึ้น กายและใจชุ่มชื่นแจ่มใส สุขภาพดี
ถวายข้าว อาหาร เวรข้าวบูชาพระธาตุ —-> อุดมสมบูรณ์ อิ่มอกอิ่มใจ สุขภาพดี
เวียนเทียนรอบองค์พระเจดีย์ —-> เพิ่มวิสัยปัจจัยแห่งกุศลธรรม เป็นสิริมงคล ช่วยยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น สะอาดขึ้น
แสดงความเคารพอย่างสูงสุดต่อพระธาตุจากใจจริง —-> เป็นที่เคารพยกย่อง มักไม่มีใครเข้าใจผิดหรือ
มองอะไรผิดๆ ได้บารมีวิมุตติธรรมจากพระบรมธาตุ พาไปสู่วิสุทธิมรรค ผล นิพพานได้เร็วยิ่งขึ้น
เป็นเจ้าภาพหรือมีส่วนช่วยจัดงานฉลองพระธาตุ —-> ประสบสุขในชีวิตโดยทั่วไปแทบทุกด้านอุดมมั่งคั่ง มีคนเคารพยกย่องช่วยเหลือเสมอ
บูรณซ่อมแซมเจดีย์พระธาตุ —-> สุขภาพดี อายุยืน รูปร่างหน้าตาผิวพรรณดี มีฐานะมั่นคง
สร้างเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุ —-> ชีวิตมั่นคงสุขสมปรารถนาทุกด้าน เป็นที่เคารพยกย่อง ได้มรรคผล นิพพานเร็วขึ้น
ถวายภาชนะบรรจุพระบรมธาตุในเจดีย์ —-> มีชีวิตมั่งคง ปลอดภัย มั่งคั่ง มีบริวารดี มีเกียรติ เป็นที่ยกย่อง
ถวายบทสวด เทปสวดมนต์สวดบูชาพระธาตุ —-> เป็นที่ยกย่องสรรเสริญจากคนทุกหมู่เหล่า ได้ยินได้พบแต่สิ่งที่ดีงาม เสียงใสไพเราะ มีวาจางดงาม มีสมาธิดีขึ้น
พระปุฬินถูปิยเถระ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ในครั้งพุทธกาลได้กล่าวถึงผลที่ท่านได้รับจากการที่ท่านเคยสร้างพระสถูปเจดีย์ไว้ดังนี้

“…เราเป็นชฎิลผู้มีตบะกล้ามีนามว่า นารทะ เราอยู่ในป่าผู้ที่จะสั่งสอน เราก็ไม่มี ใครๆ ที่จะตักเตือนเราไม่มี เราไม่มีอาจารย์และอุปัชฌาย์ สิ่งที่ควรบูชาเราควรแสวงหาเหมือนกัน เราจักได้ชื่อว่าเป็นผู้มีที่พึ่ง ครั้งนั้นเราได้ไปแม่น้ำชื่อ อเมริกา ตะล่อมเอาทรายมาก่อเป็นเจดีย์พระสถูปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราได้ทำสถูปนั้นให้เป็นนิมิต เราก่อพระสถูปที่หาดทรายแล้วปิดทอง แล้วเอาดอกกระดึงทอง ๓,๐๐๐ ดอก มา บูชา เราเป็นผู้มีความอิ่มใจ ประนมกรอัญชลี นมัสการทั้งเวลาเย็น เวลาเช้า ไหว้พระเจดีย์เหมือนถวายบังคมพระพุทธเจ้าในที่เฉพาะพระพักตร์ ฉะนั้นในเวลาที่กิเลสและความตรึกเกี่ยวด้วยกามเกิดขึ้น เราย่อมนึกถึง เพ่งดูพระสถูปที่ได้ทำไว้ เราประพฤติอยู่เช่นนี้ได้ถูกพระยามัจจุราชย่ำยี เราทำกาลกิริยา ณ ที่นั้นแล้วได้ไปยังพรหมโลก เราอยู่ในพรหมโลกนั้นตราบเท่าหมดอายุ แล้วมาบังเกิดในไตรทิพย์ได้เป็นจอมเทวดาเสวยราชสมบัติในเทวโลก ๘๐ ชาติ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๓๐๐ ชาติ และได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์โดยคณานับมิได้ เราได้เสวยผลของดอกกระดึงทองเหล่านั้น ดอกกระดึงทอง ๒๒,๐๐๐ ดอก แวดล้อมเราทุกภพ เพราะเราได้เป็นผู้บำรุงพระสถูปฝุ่นละอองย่อมไม่ติดกับตัว ที่ตัวเราเหงื่อไม่ไหล เรามีรัศมีแผ่ซ่านออกจากตัว พระสถูปเราได้สร้างไว้ดีแล้ว เราได้บรรลุบท (ธรรม) อันไม่หวั่นไหวก็เพราะได้ก่อสถูป ผู้ปรารถนาจะกระทำกุศล ควรเป็นผู้ยึดเอาสิ่งที่เป็นสาระ ความปฏิบัตินั่นเองที่เป็นสาระเมื่อถึงภพ (ชาติ) สุดท้าย เราเกิดในสกุลพราหมณ์มหาศาลอันมั่งคั่ง ในพระนครสาวัตถี เราได้เห็นพระ สถูปเสมอ จึงระลึกถึงเจดีย์ขึ้นได้นั่งอาสนะอันเดียวได้บรรลุอรหัตแล้ว เราได้บรรลุอรหัตตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ เราแสวงหาพระพุทธเจ้า เราได้เห็นพระธรรม จึงออกจากเรือนบรรพชาในสำนักของพระศากยบุตรกิจ ที่ควรทำในศาสนาของพระศากยบุตร เราได้ทำสิ้นแล้ว ข้าแต่พระ ผู้มีความเพียรอันยิ่งใหญ่ สาวกของพระองค์เป็นผู้ล่วงพ้นเวรภัยทุกอย่าง ล่วงพ้นความเกี่ยวข้องทั้งปวง นี้เป็นผลแห่งพระสถูปทอง…”

ขอบคุณข้ามูลดีๆจาก http://punjalee.com/?p=55

วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557