วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ทำทานอย่างไรให้ได้บุญมาก


ทำทานอย่างไรให้ได้บุญมาก
สวัสดีครับ แฟนๆ CityVariety ที่เคารพรักทุกท่าน เรียนตามตรงอย่างหนึ่งว่าก่อนหน้านี้ไม่ค่อยมีพลังในการเขียนบทความมากนักเพราะเห็นตัวเลขไม่ค่อยมีคนอ่านมากนัก แต่วันนี้มีคนแจ้งให้ทราบว่าบทความหลายอันติดหน้าแรกของ Google เช่น คำว่า กรรมลิขิต จากCityDhamma และ ฮวงจุ้ยโต๊ะทำงาน จาก CityTalk ซึ่งทั้งสองคอลัมน์อยู่ใน CityVariety.com เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วจึงมีพลังขึ้นอีกครั้งที่จะเขียนบทความรับใช้ทุกท่าน และผมมีมุกที่จะนำเสนอเยอะแยะไปหมดครับ และตั้งใจอีกครั้งที่จะนำเสนอบทความ CityTalk ทุกวันจันทร์ และCityDhamma ทุกวันพฤหัสครับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของธรรมะ หลังจากที่ผมได้บวชช่วงปลายปี 50 แล้วก็เปลี่ยนจากการอ่านหนังสือบริหารธุรกิจ ฮวงจุ้ย โหงวเฮ้ง มาอ่านหนังสือธรรมะและฟัง MP3 ธรรมะมากขึ้น และยิ่งนานก็จะรู้สึกโชคดีที่ได้เกิดมานับถือศาสนาพุทธ หลายเรื่องที่รู้สึกทึ่งและประทับใจอย่างลึกซึ้งในคำสอนของพระพุทธเจ้า และยิ่งค้นพบก็ยิ่งรู้สึกเสียดายที่ชาวพุทธจำนวนมากรวมทั้งเด็กนักเรียนที่เรียนวิชาพระพุทธศาสนา (รวมตัวผมเองสมัยเด็ก ๆ ) แทบไม่รู้หลักธรรมที่แท้จริงเลย
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อย่างวันนี้เรื่องที่ขอนำเสนอคือ การทำทานอย่างไรให้ได้บุญมาก ก็เป็นเรื่องที่ชาวพุทธมักไม่ค่อยรู้เรื่องและเข้าใจ คิดแต่ว่าต้องบริจาคเงินเยอะ ๆ แล้วจะได้บุญเยอะ ซึ่งไม่จำเป็นเสมอไป หรือบางคนก็คิดกลับกัน ไม่กล้าให้ทาน เพราะกลัวว่าจะเรียกว่าเป็นความโลภซะอีก โอกาสนี้จึงขอนำเสนอความเข้าใจให้ถูกโดยผมได้มาจากหนังสือชื่อ วิธีสร้างบุญบารมี ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ได้บอกวิธีให้ทานที่จะให้ผลมากต้องประกอบด้วยองค์ประกอบ ส่วน คือ วัตถุทาน เจตนา และ เนื้อนาบุญ ซึ่งผมขอสรุปสั้น ๆ และเพิ่มเติมความเห็นส่วนตัว ดังนี้
องค์ประกอบที่  วัตถุทานต้องบริสุทธิ์
วัตถุทาน เช่น เงิน สิ่งของ ต้องได้มาด้วยความบริสุทธิ์ ดังนั้น หากฆ่าสัตว์เพื่อถวายอาหารเพลก็ย่อมได้บุญน้อยจนถึงเกือบไม่ได้อะไรเลย หรือถ้าขโมยเงินมาทำบุญ หรือโกงบ้านโกงเมืองมาแล้วทำบุญก็แทบไม่ได้บุญ หรือ หากบังคับเบียดเบียนคนอื่นมาทำบุญก็แทบไม่ได้บุญอะไรเลย รวมถึง พ่อค้าแม่ค้าที่ขายของแพง ๆ เกินควรแล้วเอาเงินมาทำบุญ
ตัวอย่างยายแฟง
สมัยรัชกาลที่ 5 มีหัวหน้าสำนักนางโลมชื่อยายแฟง เรียกเก็บส่วนแบ่งจากโสเภณีในสัดส่วน25 สตางค์ชักไว้ สตางค์และรวมจนได้เงิน 2,000 บาท แล้วนำไปสร้างวัด เมื่อนมัสการถามหลวงพ่อโต วัดระฆัง ว่าจะได้บุญบารมีอย่างไร หลวงพ่อโตตอบว่า ได้แค่ สลึง เพราะวัตถุทานได้มาโดยไม่บริสุทธิ์ เบียดเบียนเจ้าของ

องค์ประกอบที่ เจตนาในการให้ทานต้องบริสุทธิ์
จะเห็นได้ว่าบางคนให้ทานด้วยความโลภ แต่จริง ๆ แล้วเป็นสิ่งตรงข้ามกับจุดมุ่งหมายการให้ทาน เพราะการให้ทานเป็นการขจัดความโลภ ความตระหนี่ขี้เหนียว และเจตนาจะต้องสมบูรณ์พร้อม ระยะ ก่อนให้ กำลังให้ และหลังให้ ต้องรู้สึกร่าเริง เบิกบาน ยินดีเพื่อให้คนอื่นมีความสุข และให้ได้บุญมากยิ่งกว่านี้ ก็ต้องให้ทานพร้อมมีวิปัสสนาปัญญาใคร่ครวญถึงวัตถุทานว่าเป็นวัตถุธาตุที่มีประจำโลก เป็นสมบัติกลางไม่ใช่เป็นของผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะ เกิดขึ้นก่อนเราเกิดและเมื่อเราตายไปก็เอาไปไม่ได้
นอกจากนี้ ตัวอย่างของเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ ได้แก่
-          เบียดเบียนตนเอง ครอบครัว หรือคนใกล้ตัว เช่น มีเงินน้อยแต่ทำเยอะ เมื่อให้แล้วก็จะมีจิตใจเศร้าหมอง
-          อยากได้หน้า เรียกว่าทำทานด้วยความโลภ
-          ฝืนใจทำ ทำเพราะเสียไม่ได้ เช่น พวกพ้องมาเรี่ยไร ตัวเองไม่ศรัทธาแต่ต้องจำใจทำ เรียกว่าเป็นการทำทานด้วยความตระหนี่ หรือเสียดาย และหากเสียดายมาก ๆ จนเกิดโทสจริต แทนที่จะได้บุญก็จะได้บาป
-          ทำด้วยความโลภ เช่น ทำบุญ 100 บาทแต่อธิษฐานขอให้เป็นมหาเศรษฐี ขอให้ถูกหวย ขอให้สวย ทำอย่างนี้ไม่ได้บุญอะไรเลย และสิ่งที่จะพอกพูนขึ้นคือ ความโลภ
ผลของทาน
                หากทานมีกำลังไม่มาก ย่อมนำให้ผู้นั้นมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง แต่หากมีกำลังแรงมาก ก็อาจจะน้อมนำให้เกิดเป็นเทวดา และเมื่อเสวยบุญหมดแล้วก็จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ที่ร่ำรวย

ทั้งนี้ ยังเหลือองค์ประกอบที่ เนื้อนาบุญต้องบริสุทธิ์ ต้องติดตามตอนต่อไปสัปดาห์หน้าครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น