วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555

อานิสงส์เวลาทำบุญภาชนะทุกอย่างต้องสะอาด




พระนางรูปนันทาเถรี
โดย  หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

                        นะโม  ตัสสะ  ภะคะวะโต  อะระหะโต  สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)
                        อัปปมาเทนะ  สัมปาเทถาตีติ
                        ณ  โอกาสบัดนี้  อาตมาภาพจะได้แสดงพระสัทธรรมเทศนาในเรื่องราวปุพพคาถา อันเป็นเครื่องโสรสสรงองค์ศรัทธาบารมี  ที่บรรดาท่านนริศราทานบดีทั้งหลายได้พร้อมใจกันมาบำเพ็ญกุศลประจำปักษ์  คือวันขึ้น 15  ค่ำ เดือน 10  ซึ่งตรงกับวันที่ 2 กันยายน 2525  วันนี้  การที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายตั้งใจบำเพ็ญกุศลบุญราศี เนื่องจากทานมัย คือบุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน  สีลมัย  บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล ภาวนามัย  คือตั้งใจสดับรับรสพุทธพจน์เทศนา  อันเป็นคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  วันนี้ทุกคนต้องการความสุขคือพระนิพพาน  ฉะนั้น  วันนี้ อาตมาภาพได้นำพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  มาแสดงแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทในเรื่องราวของพระนางรูปนันทาเถรี  ความมีอยู่ว่า

พระเจ้าปเสนทิโกศล

                        เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงประกาศพระพุทธศาสนา  พระองค์มีความสนิทสนมกับพระเจ้าปเสนทิโกศลบรมกษัตริย์เป็นอันมาก  ทราบข่าวว่าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปกรุงพาราณสีมากกว่าทุกประเทศ คือประเทศนี้องค์สมเด็จพระมหามุนีเสด็จไปถึง 25 ครั้ง  สำหรับประเทศอื่น ๆ เสด็จไปน้อยกว่านั้น  แต่ทว่าปรากฎในกาลไม่นานนัก  อัครมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศลบรมกษัตริย์   คือพระนางมัลลิกาเทวีถึงแก่สิ้นชีพิตักษัย  ฉะนั้น  พระเจ้าปเสนทิโกศลปรารถนาใคร่จะได้มีความใกล้ชิดกับองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดามากขึ้น  จึงได้ไปขอสตรีในราชนิกูลของกรุงกบิลพัสดุ์มหานครซึ่งเป็นหลาน  จะกล่าวกันไปก็เป็นน้องสาวขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา คือเป็นลูกของพระเจ้าอา  ชื่อว่ารูปนันทาเทวี
                        ครั้นเมื่อนางได้เข้ามาอยู่ในสำนักของพระเจ้าปเสนทิโกศลนี่แล้ว  ปรากฎว่าเธอเป็นคนสวยมาก ยากที่จะมีสตรีอื่นเทียบทันได้  แต่ทว่าได้ทราบข่าวว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นพระเชษฐา เทศน์ทรงตำหนิความสวยของร่างกาย ฉะนั้น  พระนางนี้จึงไม่ตั้งใจคือไม่สนใจจะสดับรับรสพุทธพจน์เทศนา  เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมากรุงพาราณสีแต่ละคราวนาน ๆ จะมาสักทีหนึ่ง  เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนาเป็นเวลา  45  ปี  แต่ก็มีโอกาสพักที่กรุงพาราณสีเพียง  25  ครั้ง เป็นอันว่าไม่ได้มาทุกปี

ไม่ยอมไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า

                        ฉะนั้น  ขณะที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ เสด็จประทับยับยั้งสำราญอิริยาบทปรากฎอยู่ในพระราชอุทยานของพระเจ้าปเสนทิโกศล  พระเจ้าปเสนทิโกศลและบรรดาประชาชนทั้งหลาย  ต่างคนก็ต่างไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตรเป็นปกติ  เพื่อสดับพระธรรมเทศนา  แต่ทว่าพระนางรูปนันทาไม่ยอมไปด้วย  พระเจ้าปเสนทิโกศลจะช่วยชักชวนแนะนำประการใดก็ดี  พระนางนี้ก็ไม่ยอมไป  ที่ไม่ยอมไปก็เพราะว่า ไม่ได้โกรธพระพุทธเจ้า มีความรู้สึกว่า ตัวท่านเป็นคนที่มีความสวยสดงดงามมาก  ยากที่จะมีบุคคลใดเทียบเท่าได้  แต่ทว่าองค์สมเด็จพระจอมไตร  ข่าวว่าอย่างนั้นว่า พระพุทธเจ้าทรงตำหนิรูปสวยหรือรูปคนว่าไม่ดี  พระนางนี้จึงไม่ยอมไป
                        ต่อมาพระเจ้าปเสนทิโกศลจึงได้ให้คนแต่งกลอน  เป็นกลอนพรรณนาถึงพระราชอุทยาน  ว่ามีความงามเสมอด้วยสวนสวรรค์  และให้นางกำนัลขับร้องกล่อมให้พระนางรูปนันทาฟังทุกวัน  พระนางรูปนันทาก็สงสัยถามเธอเหล่านั้นว่า  การที่เธอขับร้องกันอยู่นี่ อยากทราบว่ามันเป็นสวนที่ไหน  หญิงทั้งหลายเหล่านั้นก็กราบทูลว่า  สวนของพระเจ้าแม่เองพระเจ้าค่ะ  สวยสดงดงามเหลือเกินเวลานี้  นับตั้งแต่องค์สมเด็จพระมหามุนีพร้อมด้วยบรรดาพระอริยสงฆ์ทั้งหลายมาพัก  พระเจ้าปเสนทิโกศลพระบาทท้าวเธอให้จัดการให้สวยสดงดงามเป็นพิเศษ  มาวันรุ่งขึ้นเธอก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์  แต่ว่าอยากจะไปดูสวน  เขาลือกันว่ามันสวย
                        ในตอนเช้า  เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลเสวยพระกระยาหารเสร็จสิ้นแล้ว  จึงได้เข้าไปหานางถามว่า  รูปนันทาวันนี้จะไปชมสวนไหม  นางก็บอกว่า วันนี้ตั้งใจจะไป  วันนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลจัดกระบวนเป็นพิเศษ  สวยงามมาก  พอได้เวลาตอนบ่ายจึงได้พานางไปเฝ้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  แต่ทว่าขณะที่ไปเฝ้านั้นแล้ว  ก็ปรากฎว่าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วกำลังแสดงพระสัทธรรมเทศนาอยู่  นางเห็นองค์สมเด็จพระบรมครูเทศน์อย่างนั้น  ก็เลยนั่งอยู่ไกล ๆ  ท้ายบริษัท  เพราะว่าไม่ได้ตั้งใจจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์  นั่งอยู่ไกลที่สุดคือท้ายหมู่คน

พระพุทธเจ้าเนรมิตหญิงสาวสวย

                        ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดา ทรงทราบว่าน้องสาวเสด็จมา สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเห็นว่าวิสัยของรูปนันทานี้จะได้อรหัตผล  เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาในวันนี้  ฉะนั้น องค์สมเด็จพระมหามุนีขณะที่เทศน์อยู่  สมเด็จพระบรมครูจึงได้ทรงเนรมิตรผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความสวยสดงดงามมากว่าพระนางรูปนันทา  รูปร่างก็สวยกว่า  ทรวดทรงก็ดีกว่า  ผิวพรรณก็ดีกว่า  เครื่องประดับก็ดีกว่าพระนางรูปนันทามาก  ยืนอยู่ใกล้ ๆ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าถวายงานพัด  ก็หมายความว่าองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์เทศน์  ฝ่ายหญิงนั้นก็ยืนพัดเรื่อยไป  เป็นเหตุให้พระนางรูปนันทามองดูหญิงคนนั้น แล้วก็มองดูสมเด็จพระภควันต์  แล้วก็ดูตัวเอง
                        ก็นึกในใจว่า  ข่าวเขาลือกันว่าสมเด็จพระเจ้าพี่ตรงตำหนิสตรีผู้มีความงาม แล้วผู้หญิงคนนั้นก็สวยกว่าเรา  แล้วเครื่องประดับประดาก็ดีกว่าเรา  ถวายงานพัดอยู่ใกล้ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็คือพระเจ้าพี่  แล้วทำไมข่าวลือจึงลือกันไปว่าพระเจ้าพี่นี้ทรงตำหนิความงามของร่างสตรีใด ๆ  เป็นอนว่าข่าวคราวที่ลือกันไม่เป็นความจริง  ฉะนั้น เจ้าหญิงรูปนันทาจึงตั้งใจสดับรับรสพุทธพจน์เทศนาของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  เพราะมีความเบาใจว่าเธอเป็นคนสวย  แต่ว่าสวยน้อยกว่าหญิงคนนั้น  เมื่อหญิงคนนั้นองค์สมเด็จพระภควันต์ให้อยู่ใกล้ถวายงานพัดได้แสดงวาไม่รังเกียจฉันใด  เธอซึ่งมีความงามต่ำกว่า  องค์สมเด็จพระศาสดาก็คงไม่รังเกียจในรูปฉันนั้น  เธอก็ตั้งใจฟังเทศน์

ฟังเทศน์

                        พระพุทธเจ้าวันนั้นเทศน์ใน ไตรลักษณญาณ  คือ อนิจจัง  ทุกขัง   อนัตตา หรือเกิด แก่ เจ็บ ตาย  ต่อมาองค์สมเด็จพระจอมไตรก็เทศน์เป็นใจความสั้น ๆ ว่า  เวลามันสั้นนะ ท่านกล่าวว่าชีวิตเป็นของไม่เที่ยง  เกิดขึ้นมาแล้วก็มีความเสื่อมไป  เดิมเป็นเด็ก แล้วต่อมาก็เป็นหนุ่มเป็นสาวร่างกายสมบูรณ์แบบมีความงามทุกอย่าง แต่ความงามของทรวดทรงทั้งหลายเหล่านี้มันไม่ทรงตัวอยู่  แล้วสมเด็จพระบรมครูก็ตรัสว่า  หลังจากความเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วร่างกายก็จะร่วงโรยลงทีละน้อย ๆ  จนไปถึงวัยกลางคน  มาตอนนี้เอง  หญิงสาวคนสวยที่ถวายงานพัดอยู่  เมื่อสมเด็จพระบรมครูเทศน์ไปแบบไหน  ร่างกายเธอก็ทรุดโทรมไปตามนั้น  ค่อย ๆ คลายความสวยไปทีละน้อย ๆ  จนถึงวัยกลางคน
                        พระนางรูปนันทานั่งมองดูฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระบรมครู  แล้วก็มองดูหญิงกลางคนนั้นแล้วก็แปลกใจว่า  หญิงคนนี้เมื่อกี้นี้มันสาวสวยกว่าเรา  แต่เวลานี้ก็แก่ไปทีละน้อย ๆ จนถึงวัยกลางคน  ผมเริ่มเป็นดอกเลา  ต่อมาสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงเทศน์ต่อว่า  กลายจากความเป็นคนกลางคนแล้ว  ร่างของบุคคลนั้นก็จะต้องแก่ไปทีละน้อย ๆ ทรุดโทรมไปทีละน้อย ๆ  ถึงวัยแก่ชราร่างของหญิงนั้นก็แก่ไปตามวาจาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์  ท่านก็บอกว่า  เมื่อความแก่เข้ามาถึงผมที่ดำสนิทก็กลับค่อย ๆ ขาวเริ่มเป็นดอกเลา  แล้วก็ขาวหมดทั้งศีรษะ  ผมของหญิงคนนั้นก็เริ่มคลายตัวไปทีละน้อย ๆ ในที่สุดก็ขาวหมดหัว  พระนางรูปนันทาก็แปลกใจ
                        ต่อไปองค์สมเด็จพระจอมไตรก็บอกว่า  หนังที่เคยเปล่งปลั่งมันก็เหี่ยวย่นกลายเป็นคนที่ไม่มีความสวย  ร่างกายของหญิงนั้นก็เป็นตามนั้น  แล้วสมเด็จพระภควันต์ก็ตรัสว่า  แม้แต่ฟันที่อาศัยอยู่เต็มปากทั้ง 32 ซี่  นี้มันก็ยังหลุดไปทีละซี่สองซี่  ในที่สุดองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเทศน์อย่างนี้ปั๊บ  ฟันของหญิงนั้นก็หลุดไปทีละซี่สองซี่จนหมดปาก ปากบุ๋มเข้าไป  เวลาต่อไปองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็ตรัสว่า  นอกจากความแก่จะเข้ามาถึงแล้ว  โรคภัยไข้เจ็บก็เข้ามาเบียดเบียนมีอาการต่าง ๆ
                        มีอาการเสียดท้อง  ปวดท้อง  ปวดศีรษะ  มีอาการอาเจียน  เป็นต้น  แล้วองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดากล่าวแบบไหนหญิงนั้นก็มีสภาพแบบนั้น  ผลที่สุดก็อาเจียนเกือบล้มก็เกือบตาย  ในที่สุดองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็กล่าวว่า  ที่สุดของชีวิตนั่นก็คือความตาย  หญิงคนนั้นก็ล้มลงมาทันทีถึงแก่ความตาย
                        แล้วองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสต่อไปว่า  ความตายมันไม่หยุดเพียงแค่นี้ ในเมื่อธาตุลมหมดไป  ธาตุไปหมดไป เหลือแต่ธาตุน้ำกับธาตุดิน  ธาตุดินไม่มีอะไรเป็นเครื่องประคับประคอง  คือไม่มีไฟประคับประคอง  ในที่สุดธาตุน้ำก็ละลายดิน  ดินละลายแล้วเกิดอาการเน่าขึ้นมา  บรรดาอสุภะคือของที่น่าเกลียดทั้งหลายในร่างกายก็ผุดขึ้นมามีกลิ่นเหม็นฟุ้ง  ขึ้นอืด  สภาพของหญิงนั้นก็เป็นสภาพแบบนั้น
                        ในที่สุดองค์สมเด็จพระภควันต์ก็กล่าวว่า  เมื่อน้ำหมดไปร่างกายก็โทรมลง เนื้อหมดไปเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก  ภาพของหญิงนั้นก็เป็นตามนั้น  ในที่สุดท่านก็บกว่า กระดูกเรี่ยรายหายไปจากสภาพร่างกาย  หายไปในพื้นปฐพี  ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ตามนี้  ร่างกายของหญิงนั้นมีสภาพไปตามนั้น
                        พระนางรูปนันทาก็มองดูตามภาพนั้นตามลำดับ  ในที่สุดก็มีความคิดว่า  หญิงคนนี้สาวกว่าเรา  หญิงคนนี้สวยกว่าเรา  รูปร่างหน้าตาดีกว่าเรา  เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศน์เธอก็มีสภาพดีกว่าเรา  พองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศน์จบ พระนางรูปนันทาพิจารณาร่างกายหญิงคนนั้นแล้วก็พิาจารณาร่างกายของตัวเองว่า  สภาพต่อไปในเบื้องหน้าก็มีสภาพเป็นอย่างนี้  เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์เทศน์จบ พระนางรูปนันทาก็บรรลุอรหัตผลในพระพุทธศาสนา

บุญอะไรจึงเกิดมาสวย

                        แล้วกลับตามย้อนถอยหลังมาว่า  ทำไมพระนางรูปนันทาจึงสวยมาก ตอนนี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ในที่บางตอน  ท่านกล่าวว่า  พระนางรูปนันทาเป็นคนในตระกูลศากยราช  เกิดในตระกูลของเจ้าก็จริงแหล่  แต่ทว่าเป็นเจ้าที่มีความสวยงดงามเป็นกรณีพิเศษ  ไม่มีหญิงใดในกรุงกบิลพัสดุ์มหานครจะสวยเท่าพระนางรูปนันทา
                        คำว่ารูปนันทา แปลว่า มีรูปเป็นเครื่องบันเทิง  คือมีรูปเป็นเครื่องดีใจ  สมเด็จพระจอมไตรตรัสว่า  ในอดีตชาติก่อน  คือว่าทุกชาติที่ผ่านมามันเป็นนิสัยนะ  พระพุทธเจ้าบอกว่านิสัยนี้ละไม่ได้  คนจะละนิสัยได้มีคนเดียวคือพระพุทธเจ้า  ถ้ายังไม่เป็นพระพุทธเจ้าเพียงใด  ก็ทรงนิสัยตามนั้น  เมื่อได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้วก็ละนิสัยนั้นได้  มีองค์เดียว  คนอื่นนอกจากพระพุทธเจ้าแม้แต่พระอรหันต์ทั้งหลายก็ละนิสัยเดิมไม่ได้  อย่างพระสารีบุตรอดีตเห็นจะเกิดเป็นลิงมามาก  เป็นอัครสาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  เวลาพบลำคลองหรือลำราง  พระอื่นค่อย ๆ ข้ามไป  หรือค่อย ๆ ถกผ้าลุยน้ำไป  แต่พระสารีบุตรขัดเขมรแล้วก็โดดไป  เป็นอันว่านิสัยนี้ทิ้งไม่ได้แม้ว่าจะเป็นอัครสาวก
                        สำหรับพระนางรูปนันทาก็เหมือนกัน  ที่สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาตรัสว่า  ชาติในอดีตของรูปนันทาทุกชาตุที่เกิดเป็นมนุษย์  นี่หมายความว่าทุกชาติที่เกิดเป็นมนุษย์  เวลาที่เธอจะทำบุญทำทาน  ภาชนะทุกอย่างต้องสะอาดหมด  ตั้งแต่สมัยเป็นคนยากจนก็ตามที   ภาชนะมันอาจจะไม่ดีเท่าชาวบ้านเขา  แต่ว่าการทำความสะอาดภาชนะที่จะไปทำบุญต้องสะอาด  ถ้าไม่สะอาดเธอไม่ทำ  ต่อมาจนกระทั่งเป็นลูกเศรษฐีหรือลูกกษัตริย์ มาก็หลายวาระ  เวลาที่จัดภัตตาหารไปถวายพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา  ภาชนะทุกอย่างเธอต้องล้างเอง ต้องเช็ดเอง ต้องทำเองทุกอย่างจนกระทั่งเป็นที่พอใจ
                        องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า  อาศัยที่รูปนันทาเป็นคนชอบความสะอาด  รักความสะอาด  เวลาให้ทานหรือบำเพ็ญกองการกุศล  เหตุนี้เป็นปัจจัยให้รูปนันทาเป็นคนสวยทุกชาติ  มาชาติสุดท้ายนี่เป็นคนสวยที่สุด  แต่ว่าไอ้ความสวยก็อยู่ไม่ได้นาน  แล้วองค์สมเด็จพระพิชิตมารจึงได้กล่าวแก่บุคคลทั้งหลายว่า  ภิกขเว  ดูก่อนภิกษุทั้งหลายความจริงท่านเทศน์กับพระกับคน  แต่พระนั่งอยู่ใกล้จึงปรารภกับพระว่า
                        ภิกขเว  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย   เธอทั้งหลายจงดูสภาวะของหญิงที่มีรูปงามที่ถวายงานพัดตถาคตอยู่  ในไม่ช้าไม่นานเท่าไร  องค์สมเด็จพระบรมครูคือตถาคตเทศน์ไม่ทันจะจบเธอก็ตาย  เวลานี้กระดูกเรี่ยรายลงบนพื้นปฐพี  จะหาสิ่งที่ปรากฎเป็นร่างกายนี้ก็ไม่ปรากฎฉันใด  พวกท่านทั้งหลายที่สดับรับรสพุทธพจน์เทศนาอยู่เวลานี้  ภายหลังไม่ช้าจากวันนี้ไป  วันคืนล่วงไป ๆ  ชีวิตก็เสื่อมไปทีละน้อย  เข้าไปหาความตาย  ถ้าอายุยืนสักหน่อยก็มีอายุถึงแก่  แก่แล้วก็ตาย  ถ้าบาปกรรมที่เป็นอกุศลทำไว้มากไซร้  เช่น ปาณาติบาต  ก็สามารถจะตัดชีวตไปในระหว่างกลางให้ถึงแก่ความตายได้  ฉะนั้น พวกเธอทั้งหลายจงอย่าประมาทในชีวิต  อย่าคิดว่าชีวิตจะยืนยาวต่อไป
                        แล้วองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงนำมาซึ่งอริยสัจโดยย่อ  นั่นก็หมายความว่า  เธอทั้งหลายจงรู้สภาพว่าการเกิดนั้นมีสภาพเป็นทุกข์  การทรงชีวิตอยู่นั้นมีสภาพเป็นทุกข์ทุกอย่าง  ความหิวก็เป็นทุกข์  ความกระหายก็เป็นทุกข์  การป่วยไข้ไม่สบายก็เป็นทุกข์  การประกอบการงานก็เป็นทุกข์  การปวดอุจจาระปัสสาวะก็เป็นทุกข์  มีความปรารถนาไม่สมหวังก็เป็นทุกข์  มันทุกข์ทั้งหมด  เพราะว่าปรากฎแล้วว่าคนเกิดมาแล้วไม่มีความสุขแท้จริง

ปัจจัยให้เกิดทุกข์

                        พระองค์กล่าวว่า  ภิกขเว  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  และบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง  พวกเราจะพ้นทุกข์ได้เพราะหาเหตุความเกิดให้พบ  เหตุที่จะเกิดความทุกข์ได้นั่นก็คือตัณหา ได้แก่ความอยาก
                        กามตัณหา  ได้แก่ ความอยากได้ในสิ่งที่ไม่มีให้อยากมีขึ้น
                        ภวตัณหา  สิ่งที่มีขึ้นแล้วอยากให้ทรงตัว  ตอนนี้แหละมันเป็นตัวทุกข์มาก การอยากได้เข้ามาเป็นของธรรมดาของคนที่มีชีวิต  เพราะต้องเลี้ยงตัวเองเป็นของไม่แปลก ถ้าได้มาด้วยสัมมาอาชีวะ  สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ทรงตำหนิ  แต่ก็ทรงตำหนิตอนที่ว่า  พอได้มาแล้วไม่ต้องการให้มันหมดไป  จะให้มันทรงอยู่
                        อย่างคนที่ได้มาแล้วมีความเป็นหนุ่มเป็นสาวเพียงใด  ต้องการให้สาวให้หนุ่มตลอดกาล  มีรูปร่างหน้าตาสะสวยเพียงใดให้สวยอยู่ตลอดกาล  ทรัพย์สินที่หามาได้แล้วต้องการให้มันอยู่กับเราตลอดกาล  สมบัติส่วนใดที่สร้างขึ้นมาเป็นวัตถุ  ต้องการให้มันใหม่ตลอดเวลานี่มันเป็นไปไม่ได้  อารมณ์ที่ต้องการให้ทรงอยู่ตลอดกาลนี้เรียกว่าภวตัณหา  มันเป็นตัวบันดาลให้เกิดความทุกข์  เพราะอะไร  เพราะคนเกิดมาแล้วมันต้องแก่ทุกคน  ร่างกายต้องทรุดโทรมทุกคนแล้วต้องตายทุกคน  สัตว์ก็มีสภาพเช่นเดียวกัน  วัตถุที่หามาได้นั้นได้มาจากใหม่แล้วก็เก่าลงไปทุกวัน ๆ  ถ้าเราต้องการให้มันใหม่อยู่  ให้มันทรงตัวอยู่  ในเมื่อมันเปลี่ยนแปลงไปใจมันก็เป็นทุกข์  อันนี้ภวตัณหา  เป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์  คืออารมณ์ต้องการให้ทรงตัวอยู่
                        และในตอนท้ายสมเด็จพระบรมครูกล่าวว่า
                        วิภวตัณหา  อีกตัวหนึ่งที่ทำให้เราทุกข์  วิภวตัณหานี่ยมอรับว่ามันแก่ก็แก่  ทนไม่ไหวห้ามไม่ได้  ของเก่าก็เก่าไม่ว่าอะไร  ขออยาให้มันพังอย่าตายก็แล้วกัน  ไอ้ความพังความตายมันเป็นของธรรมดาของสมบัติของโลก  นี่มันก็ห้ามไม่ได้อีก  ในเมื่อเราต้องการไม่ให้มันฟังไม่ให้มันตาย  ทีนี้เวลามันจะพังมันจะตายขึ้นมาใจเราก็เป็นทุกข์
                        ฉะนั้น  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า  เธอทั้งหลายเมื่อรู้เหตุของความทุกข์คือตัวอยาก  คืออยากได้ในสิ่งที่ไม่มาไม่มีมา ต้องการให้มีขึ้น  สิ่งที่มีขึ้นแล้วต้องการให้ทรงตัว  สิ่งที่มันไม่ทรงตัวไม่ต้องการให้มันจากไป  อาการอย่างนี้เป็นปัจจัยความทุกข์  เธอทั้งหลายจงตัดทุกข์ด้วยอริยมรรค  อริยมรรคท่านย่อลงแล้วเหลือ 3 ประการ คือศีล สมาธิ ปัญญา  คือตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์  และตั้งใจดำรงสมาธิหรือกำจัดนิวรณ์ 5  ออกจากใจ  ปัญญาพิจารณาไปว่า  ขึ้นชื่อว่าขันธ์ 5  ซึ่งประกอบด้วยธาตุ 4  มีอาการ 32 มันเป็นของไม่ดี  ตัวอย่างเหมือนสตรีในภาพเมื่อกี้นี้เธอเป็นสาวเป็นคนสวย  ต่อมาร่างกายก็ทรุดโทรมไปทีละน้อย ๆ ในที่สุดก็แก่  แก่แล้วก็ตาย
                        เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงกล่าวว่า  จงอย่ายึดถือว่าร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเรา  เราไม่มีในร่างกาย  ร่างกายไม่มีในเรา  จงอย่ายึดถือร่างกายของเราว่าจะทรงอยู่ จงอย่ายึดถือร่างกายของบุคคลอื่นว่าจะทรงอยู่  แล้วสมเด็จพระบรมครูก็กล่าวว่า  จงวางภาระในวัตถุธาตุทั้งหมดที่เป็นของภายนอกจากกาย  จิดใจเราไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากพระนิพพาน
                                                               **************

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://www.kaskaew.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น