วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555

อานิสงส์เกาะบุญชายผ้าเหลืองลูกชาย

   
เกาะบุญชายผ้าเหลืองลูกชาย
โดย  หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

                        ตัวอย่างในพระสูตรที่มีมา  ในเรื่องของเณรสุบิน  ท่านกล่าวว่า  เณรสุบินคนนี้ปรากฎว่าบิดามารดาเป็นพราน  แต่ว่าลูกชายมีจิตใจเลื่อมใสในศาสนาขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามีคติไม่ตรงกัน  พ่อชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แม่ก็มีอารมณ์จิตเหมือนกับพ่อ  แต่ว่าสำหรับลูกชายกลับเป็นคนที่มีจิตน้อมไปในกุศลในพระพุทธศาสนา หนีพ่อหนีแม่ไปบรรพชาเป็นสามเณร  เป็นอันว่าพ่อแม่สามเณรไม่มีโอกาสจะพบกัน
                        ต่อมา  เมื่อกาลเวลาเข้ามาถึง  พ่อและแม่ก็ตายจากความเป็นคน  ด้วยอำนาจกรรมที่เป็นอกุศล  พระยายมก็สั่งคนมาเชิญไปเป็นแขกรับเชิญ  คือเชิญไปในขุมนรก  เชิญไปในสำนักพระยายม  ก็สอบสวนตามความเป็นจริงว่า  ทำกรรมที่เป็นอกุศลอะไรบ้าง  แกก็รับทุกอย่างว่าได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  ตั้งแต่สัตว์เล็กถึงสัตว์ใหญ่ อาศัยกฎของกรรมอันนี้ ก็ปรากฎว่าท่านทั้งสองจะต้องลงนรก  เขาจึงนำไป  เมื่อนำไปแล้ว  ตามธรรมดาสัตว์นรกที่มีกรรมที่เป็นอกุศลทั้งหมด  เมื่อเข้าเขตของนรกแล้ว  ก็ต้องลงขุมได้ทันที
                        แต่ว่าบิดามารดาของสามเณรนี้ลงไม่ได้  นายนิรยบาลจึงจับโยนลงไปเข้าขุมนรก  ก็ปรากฎว่ามีหวายใหญ่มารองรับ  เป็นหวายร่างแหรองรับเข้าไว้  ไม่ตกลงไปในนรก ทำอย่างนี้ถึง 3 วาระ  คนทั้งสองลงนรกไม่ได้ เพราะอะไร  เพราะว่าในเมื่อพ่อและแม่เห็นแสงไฟ  ก็คิดขึ้นมาในใจว่า  แสงไฟนี้คล้ายจีวรของพ่อเณรน้อย  เพราะว่าเณรไปบวช ทราบว่าบวชก็ไปทวงให้สึก  เณรก็ไม่สึก  เห็นภาพเณรเพียงนิดเดียวเท่านั้น  จิตใจนึกขึ้นมาได้ว่า เณรลูกชายของเรามีสีจีวรคล้ายเปลวไฟ  เพราะไปบางตอนมันมีสีเหลือง  จิตคิดเป็นอย่างนี้  เป็นอันว่าบิดามารดาทั้งสองศรีลงนรกไม่ได้  นายนิรยบาลก็นำกลับมาสำนักพระยายม
                        พระยายมก็สอบถามว่า  กรรมใดที่เป็นกุศลนะ  ท่านไม่เคยทำบ้างเลยหรือ
                        สำหรับบิดามารดาของสามเณรก็กล่าวว่า  กรรมใด ๆ ที่เป็นกุศล  ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งตาย ไม่เคยทำ  มีอย่างเดียวคือมีลูกชายอยู่คนหนึ่งชื่อสุบิน  เธอไม่พอใจในการทำอกุศลกรรมความชั่ว  สอนให้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เธอก็ไม่ทำ  ในที่สุดเธอก็หนีไปบวชเป็นสามเณรน้อยในพระพุทธศาสนา
                        เป็นอันว่า  พระยายมก็ทราบว่านี่บุญลูกชายบวชเณร  ท่านจึงกล่าวว่า ในเมื่อลูกชายบวชเณร  เราสอบสวนในตอนก่อนทำไมเจ้าจึงไม่บอก
                        บิดามารดาของสามเณรบอกว่า  นึกไม่ออก  เพราะกรรมที่เป็นอกุศลบัง มันกดปากเข้าไว้  บังใจไม่ให้นึกถึง
                        เป็นอันว่าในเมื่อพระยายมทราบอย่างนั้น  จึงได้กล่าวว่า  เพราะอำนาจกุศลที่ลูกชายของท่านบวชเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา  จึงเป็นเหตุบันดาลให้ลงในขุมนรกไม่ได้  ฉะนั้น  ท่านจงได้รับผลของกรรม คือความดีต่อไป  ก็หมายความว่าไปเกิดบนสวรรค์
                        นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน  สำหรับพระสูตรนี้ความจริงยาวมากกว่านี้  เวลามันมีจำกัด  ที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์แสดงให้เห็นว่า  ท่านทั้งหลายที่มีบุตรชายบวชเป็นสามเณรก็ดี บวชเป็นพระก็ดี ในพระพุทธศาสนา  แม้ว่าท่านจะไม่ยินดีหรือไม่ทราบ  ท่านก็มีอานิสงส์มาก  จะนั่งเทศน์ถึงอานิสงส์ถามกันไปตอบกันมาสิ้นเวลา 1 กัป  ก็ไม่จบ  ฉะนั้น  องค์สมเด็จพระนราสภจึงได้ทรงสรุปไว้ว่า การอุปสมบทบรรพชาในพระพุทธศาสนา  ย่อมเป็นปัจจัยเข้าถึงพระนิพพาน
                        บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  ย่อมทราบดีว่าการอุปสมบทบรรพชานี้มีอานิสงส์มาก  แล้วสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่าเป็นสามัญผล  คือเป็นผลที่เสมอกัน คนที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนานี้  ย่อมมีสิทธิเสมอกันในการทรงสิกขาบท และสามารถที่จะกำหนดจิตปฏิบัติสมถกรรมฐาน  วิปัสสนากรรมฐานได้เสมอกัน  ฉะนั้น  จึงจัดว่ามีอานิสงส์มาก
                        ในที่สุดนี้  อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐาน  อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนา ทั้งสามประการ  ขอจงบันดาลให้บรรดาพุทธบริษัททุกท่านที่บำเพ็ญกุศลแล้ว  จงมีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล และจงเจริญด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง  4  ประการ  มีอายุ  วรรณะ  สุขะ  พละ และปฏิภาณ  หากทุกท่านปรารถนาสิ่งใด  ก็ขอให้ได้สิ่งนั้นจงสมความปรารถนาทุกประการ

                                                               *****************

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://www.kaskaew.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น