วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

วิธีดูว่าตนเองได้สมาธิระดับไหน ใน 9 ระดับ

"วิธีดูว่าตนเองได้สมาธิระดับไหน ใน 9 ระดับ"
หลายๆ ท่านคงเคยนั่งสมาธิ บ้างก็คิดว่าต้องนั่งนานๆ ถึงจะได้อานิสงส์มาก บ้างก็คิดว่า ต้องมีอาการอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องเห็นนั่นเห็นนี่ ถึงจะเรียกว่าได้สมาธิ แท้จริงสมาธิทั้ง 9 ระดับนั้น เราไม่ต้องไปตีความเอาเองกันเลยครับ เพราะเดไปตีความเองก็จะผิดเพี้ยนเข้าป่าเข้าพง ดีไม่ดีก็จะหลงผิดคิดว่าภาพหลอนคือญานทิพย์ของตัวเองไปเสียได้ คราวนี้แทนที่จะได้อานิสงส์ กลับได้ความมัวเมาและนอกรีตมาแทน ผมอยากจะบอกว่า สมาธิ ต่อให้นั่งได้นานเป็นวันๆ แต่ถ้าหากจิตไม่สอดคล้องกับ 9 ระดับดังต่อไปนี้ อานิสงส์ของท่านทั้งหลายมีค่าเท่ากับศูนย์ ไม่ต่างอะไรกับการนั่งหายใจทิ้ง จิตเต็มไปเรื่องราวต่างๆ มากมายที่ปรุงแต่งขึ้นมา หลอนตัวเองจนคิดว่าสิ่งนั้นเป็นภาพนิมิต
สมาธิทั้ง 9 ระดับมีอะไรบ้างตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัส ถ้ามีสาวกรูปใด หรือบุคคลใดเอ่ยชื่อนอกเหนือไปจากนี้ นั่นคือแต่งขึ้นเอง คิดเอง พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนครับ ทั้งชีวิตของพระองค์ตรัสเท่านี้ สอนเท่านี้ ไม่มียุบหนอพองหนอ ไม่มีโยกตัวสั่นตัว ไม่มีพุทโธ มาดูกันครับว่า ท่านทั้งหลายที่ผ่านๆมา นั้น นั่งสมาธิได้ระดับไหนกันบ้าง ได้แก่
1.ปฐมฌาน
"เรานั้นแล สงัดแล้วจากกาม สงัดแล้วจากอกุศลธรรม ได้บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขซึ่งเกิดแต่วิเวกอยู่"
อธิบายก็คือ สมาธิระดับแรกสุด อาการก็คือ จิตของท่านทั้งหลายยังคงมีเรื่องราวให้คิดอยู่นะครับ แต่เรื่องที่คิดนั้นเป็นเรื่องกุศลทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ได้คิดอกุศลแล้ว (อุทิศบุญและแผ่เมตตาไม่ต้องกรวดน้ำ พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนกรวดน้ำ แต่สอนว่าให้ใช้สมาธิระดับนี้แผ่บุญไปก็ได้นะครับ) ง่ายที่สุด ส่วนคำว่า วิตกและวิจารนั้นหมายถึง การหยิบเอาเรื่องอันเป็นกุศลมาขบคิดนะครับ คือ เสียงต่างๆที่มันดังเข้ามาในหัวของเรานั่นแหละครับ เรียกว่าวิตกวิจาร บางทีก็ชอบคิดอดีต คิดปัจจุบัน คิดอนาคต คิดกลุ้มใจ คิดเรื่องหนี้สิน พ่อแม่ พี่น้อง คนรัก คิดอาฆาต คิดไปต่างๆ นานาๆ นี่เรียกว่า วิตกวิจาร ซึ่งสมาธิระดับแรกนี้ วิตกวิจารจะต้องมีแต่เรื่องกุศลนะครับ เช่น หยิบยกสายปฎิจสมุปบาทมาคิดแทน มาพิจารณาอย่างละเอียด เป็นต้น
2. ทุติยฌาน
"เราได้บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต ณ ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตก วิจาร สงบไป มีปีติและสุขซึ่งเกิดแต่สมาธิอยู่" อธิบายก็คือ วิตกและวิจารดับไปแล้วนะครับ พูดภาษาง่ายๆ ก็คือ เสียงในหัว เสียงในจิตไม่มีแล้วครับ ไม่มีเรื่องราวให้คิด เงียบสนิท สงบนิ่ง จิตจับอยู่กาย จับอยู่กับลมหายใจเท่านั้น แต่ปีติและสุขยังคงมีอยู่ ...ปีตีและสุขที่ว่านี้ก็คือ เมื่อเรื่องราวๆ ต่างมันไม่ให้ต้องฟุ้งซ่าน ความสงบนิ่งนั้น ทำให้ท่านรู้สึกปีติและสุขนั่นเอง
3. ตติยฌาน
"เรามีอุเบกขาอยู่ มีสติ มีสัมปชัญญะ และเสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป ได้บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ มีสุขอยู่ ดังนี้ อยู่" อธิบายง่ายๆก็คือ ปีติจะดับไปตัวเดียวนะครับ แต่สุขยังอยู่
4. จตุตถฌาน
"เราได้บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่" อธิบายก็คือ สุขจะดับไป และลมที่ไหลเข้าไหลออกจะดับไป จิตมันเริ่มละเอียดมากขึ้น ท่านจะเริ่มไม่รู้สึกถึงลมหายใจตัวเองแล้ว แต่ยังหายใจอยู่นะครับ แต่ไม่รู้สึกแล้ว บางท่านตกใจ กลัวตาย รีบดึงสติกลับมาแล้วสูดหายใจใหญ่เลย ก็ต้องมาเริ่มต้นกันใหม่
5. อากาสานัญจายตนะ
"ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เพราะล่วงเสียซึ่งรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะปฏิฆสัญญาดับไปเพราะไม่ใส่ใจซึ่งนานัตตสัญญาเข้าถึงอากาสานัญจายตนะด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุดมิได้ ดังนี้อยู่ ฯ"
6. วิญญาณัญจายตนะ
" ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เพราะล่วงเสียซึ่งอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง แล้วเข้าถึงวิญญาณัญจายตนะด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ ดังนี้อยู่ ฯ"
7. อากิญจัญญายตนะ
"ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เพราะล่วงเสียซึ่งวิญญาณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง แล้วเข้าถึงอากิญจัญญายตนะด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร ดังนี้อยู่ ฯ"
8. เนวสัญญานาสัญญายตนะ
"ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เพราะล่วงซึ่งอากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวง แล้วเข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะอยู่ ฯ"
9. สัญญาเวทยิตนิโรธ
"ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เพราะล่วงเสียซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนะโดยประการทั้งปวง แล้วเข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ ฯ"
สำหรับท่านที่ทำสมาธิได้เกินจากระดับที่5 เป็นต้นไปแล้ว กรุณาศึกษาเพิ่มเติมถึงรายละเอียดต่างๆ จากพระไตรปิฎกอีกครั้งนะครับ โดยพยายามเลี่ยงในส่วนของอรรถกา (ส่วนนี้สาวกจะแต่งขึ้น) แต่ให้ดูแค่ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเท่านั้น เพื่อไม่ให้ตนเองหลงทางครับ

อย่าลืมนะครับว่า แม้ได้สมาธิแค่ระดับแรก แต่อานิสงส์ก็ใหญ่กว่าการสร้างวัด และแม้ทําได้แค่เพียงกาลลัดนิ้วมือเดียว คือชั่วเวลาที่เรางอนิ้วลงมาไม่กี่วินาทีนี้เอง แต่อานิสงส์ก็มากกว่าสร้างวัด หรือวิ่งไปไหว้ระเก้าวัดสิบวัด หรือนั่งรถไปทําบุญแปลกๆ พิศดาร ที่มันไม่ได้อะไรกลับมาเลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น